คดี 8 ศพ ญาติผู้ตายเดินทางมาศาลเพื่อฟังคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ภาค 8 หลังยื่นอุทธรณ์ มีคำสั่งไม่รับคำร้องขอเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการ ส่วนค่าสินไหมชดเชยทางบังฟัตยอมจ่ายให้ทั้งหมด 7.5 ล้านแทนจำเลยอีก 5 คน


วันที่ 7 พย.61 ที่ศาลจังหวัดกระบี่ นายยูโซบ พริกดำ อายุ 51 ปี นายจรีย์ บุตรเติบ อายุ 59 ปี พร้อมญาติๆ ของนายวรยุทธ สังหลัง อายุ 46 ปี อดีต ผญ.บ้าน หมู่ 1 ต.บ้านกลาง พร้อมครอบครัว และญาติ ที่ถูกกลุ่มคนร้ายนำโดยนายซูริก์ฟัต บ้านนพวงสกุล พร้อมพวกรวม 8 ได้สังหารรวม 8 ศพ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 11 ก.ค.59 ที่ผ่านมา และต่อมาศาลชั้นต้นได้ตัดสินให้นายซูริก์ฟัต พร้อมพวกรวม 6 คน ต้องโทษตัดสินประหารชีวิต และอีก 2 คน จำคุก 1 ปี 9 เดือน และอีกคน จำคุก 12 เดือน ที่ร่วมกันก่อเหตุ นอกจากนั้นศาลจังหวัดกระบี่ ยังได้ให้ผู้ต้องหาที่ 1-6 ซึ่งต้องโทษตัดสินประหาร ให้ชดใช้เงินแก่ญาติผู้เสียชีวิตรวม 8 คน เป็นเงินจำนวนกว่า 7.5 ล้านบาท  และในวันนี้  ศาลจังหวัดกระบี่  ได้นัดผู้ร้องที่ 2-8  ประกอบด้วย  นายสนาน สังหลัง  นางห้าแกฉะ บุตรหลี นายจรีย์ บุตรเติบ   นางอุไร พัฒแก้ว  นางสาวอัญชลี บุตรเติบ ดญ.รัญชิดา  พริกดำ ดญ.ณัฐธิชา พริกดำ และดญ.รลิยาห์ พริกดำมา ฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8   กรณีที่ผู้ร้อง อุทธรณ์คำตัดสินให้เพิ่มโทษ  ผู้ต้องหาที่7และ8  ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นฯ    และขอให้จำเลยที่ 8 ร่วมชดใช้ค่าเสียหายด้วย   ว่าศาลจะรับอุทธรณ์ หรือไม่
นายยูโซบ ซึ่งเป็นพ่อของนายสุทธิพงษ์ 1 ในผู้ตาย กล่าวว่า วันนี้ไม่คาดหวังอะไรมาก แต่ที่ได้มีการยื่นอุทธรณ์ไป เพราะยังไม่มีการจ่ายเงินชดเชยใดๆ จากกลุ่มคนที่ฆ่าลูกชายเลย จึงได้เดินทางมาฟังคำสั่ง ส่วนกรณีผู้รอดชีวิต ซึ่งเป็นหลานของตน 2 คนและลูกสะใภ้นั้น ขณะนี้ ในส่วนของหลานวัย 4 ขวบ ซึ่งถูกยิงที่ศีรษะกระสุนยังฝังใน แพทย์ มอ.สงขลา นัดไปดูอาการเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนจะผ่าตัดหรือไม่นั้น ตนไม่อยากให้ผ่าเพราะกลัวว่าจะพิการ เนื่องจากขณะนี้เด็กมีอาการดีขึ้นจะเหลือเพียงจิตใจที่ยังหวาดผวาอยู่และไม่กล้าอยู่คนเดียว
ต่อมาศาลได้เข้าห้องพิจารณาที่ 5 ศาลจังหวัดกระบี่ ได้อ่านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีว่า ผู้ร้องที่ 2 ถึงที่ 8 ไม่ใช่โจทก์หรือร่วม จึงไม่มีอำนาจยื่นอุทธรณ์ในส่วนคดีอาญา โดยไม่จำต้องพิเคราะห์ อุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ไม่รับอุทธรณ์ส่วนอาญา สำหรับคดีส่วนแพ่งรับอุทธรณ์เฉพาะ ข้อ 3 ที่ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 แก้เป็นให้จำเลยที่ 7 และที่ 8 ร่วมรับผิด และขอให้จำเลยที่ 8 ชำระดอกเบี้ยนับแต่วันทำละเมิดเท่านั้น สำเนาให้จำเลยทั้ง  8 แก้ภายใน 15 วัน ในการส่งหากไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิด เป็นหมายศาล. จำเลยที่ 2 -  8 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง  ที่ไม่รับอุทธรณ์ในส่วนคดีอาญา และวันนี้ จึงนัดฟังคำสั่งคำร้องจากศาลอุทธรณ์ภาค 8 คดีอาญาหมายเลขดำที่ 4396/2560 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1380/61
ศาลอุทธรณ์ ภาค 8 พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ผู้ร้องที่ 2 ถึงที่ 8 เพียงแต่ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนซึ่งเป็นคำฟ้องตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ผู้ร้องที่ 2 ถึงที่ 8 ย่อมอยู่ในฐานะโจทก์ในคดีส่วนแพ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 วรรคสอง เท่านั้น เมื่อผู้ร้องที่ 2 ถึงที่ 8 มิได้ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ผู้ร้องที่ 2 ถึงที่ 8 ย่อมไม่มีฐานะเป็นคู่ความ อันจะมีสิทธิอุทธรณ์ในคดีส่วนอาญาได้ คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของผู้ร้องที่ 2 ถึงที่ 8 ในคดีส่วนอาญาชอบแล้ว  ยกคำร้อง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการในคดีส่วนแพ่งต่อไป   ล่าสุดศาลจังหวัดกระบี่ ซึ่งเป็นผู้อ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 อ่านคำสั่ง แล้วเสร็จเวลา 11.00 น. โดยให้ จำเลย ที่ 1-6 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ญาติของผู้เสียชีวิต ตามที่ ร้องมา
 ด้านนายเกรียงศักดิ์ สารภี ทนายความ นายซูริก์ฟัต และผู้ต้องหาทั้งหมด  เปิดเผย หลังจาก ฟังคำพิพากษา ว่า ที่ผ่านมาได้ ได้ประสานกับ นายซูริก์ฟัต ว่า ยินยอมชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แก่ญาติผู้เสียชีวิต ทั้งหมด แทนจำเลย 2-6 ด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมรายละเอียดต่างๆ   ขณะที่ฝ่ายญาติๆ ผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ยอมรับคำตัดสินของศาล   และมอบหมายให้ทนายความดำเนินการตรมขั้นตอนต่อไป
ทั้งนี้คำตัดสินศาลชั้นต้น ได้ตัดสินประหารจำเลยที่ 1-6 คือ นายซูริก์ฟัต บ้านนบวงศ์กุล หรือ บังฟัต อายุ 41 ปี 2.นายคมสรรค์ เวียงนนท์ (ม่อน) 3.นายอับดุลเลาะ ดอเลาะ (เลาะห์) อายุ 30 ปี. 4.นายอรุณ ทองคำ (กี้ร์) อายุ 29 ปี 5.นายประจักษ์ บุญทอย (จักร์) อายุ 36 ปี 6.นายธนชัย จำนอง (โกบ) อายุ 41 ปีให้จำคุกตลอดชีวิต  ส่วนจำเลยที่ 7.นายธวัฒชัย บุญคง (ชัย) อายุ 37 ปี พิพากษาจำคุก 1 ปี 9 เดือน และ นางสาวชลิตา สังข์โชติ อายุ 41 ปี ตัดสินจำคุก 12 เดือน
สำหรับในคดีส่วนแพ่ง ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ร่วมกันชำระเงิน  แก่ผู้ร้องที่ 1 และที่ 2 จำนวน 630,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 ซึ่งเป็นวันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องที่ 1 และที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ร่วมกันชำระเงินแก่ผู้ร้องที่ 3 จำนวน 1,445,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 ซึ่งเป็นวันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องที่ 3 ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ร่วมกันชำระเงินแก่ผู้ร้องที่ 4 จำนวน 962,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องที่ 4 ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ร่วมกันชำระเงินแก่ผู้ร้องที่ 5 จำนวน 2,402,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,500 บาท นับแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2560 ซึ่งเป็นวันละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องที่ 5 ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ร่วมกันชำระเงินแก่ผู้ร้องที่ 6 จำนวน 420,000 บาท แก่ผู้ร้องที่ 7 จำนวน 720,000 บาท และแก่ผู้ร้องที่ 8 จำนวน 960,000 บาท


ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.