อุทยานหว้ากอจัดกิจกรรมดูพระจันทร์สีเลือดผ่านกล้องโทรทรรศน์ พบวันนี้ประจวบมีเมฆมากบดบังทัศนวิสัย

เจริญ อาจประดิษฐ์/ประจวบคีรีขันธ์

อุทยานหว้ากอจัดกิจกรรมดูพระจันทร์สีเลือดผ่านกล้องโทรทรรศน์ พบวันนี้ประจวบมีเมฆมากบดบังทัศนวิสัย

เย็นวันนี้ที่ 31 ม.ค.61 ที่บริเวณสะพานสราญวิถี ริมชายหาดทะเลอ่าวประจวบฯ อ.เมือง จ.ประจวบฯ อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ ได้นำกล้องโทรทรรศน์จำนวน 4 ตัว สำหรับดูดวงจันทร์ตอนเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคา และกล้องพิเศษ แล้วนำภาพขึ้นฉายบนจอโปรเจคเตอร์ ให้ประชาชน เยาวชน และนักท่องเที่ยวได้ติดตามอย่างใกล้ชิด โดยพบว่าวันนี้ตั้งแต่ช่วงเวลา 17.30 น.เป็นต้นมาได้มีประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเดินทางมาร่วมกิจกรรมและเฝ้าดูดวงจันทร์ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ จัดขึ้น พร้อมทั้งนำกล้องส่วนตัวมาถ่ายภาพคอยเฝ้าติดตามดูดวงจันทร์ขนาดใหญ่ขณะโผล่ขึ้นจากน้ำทะเลฝั่งทางทิศอ่าวประจวบฯ รวมถึงปรากฏการณ์ธรรมชาติจันทร์ทรุปราคา หรือราหูอมจันทร์ แต่ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีก้อนเมฆเป็นอุปสรรคที่มาคอยบดบังดวงจันทร์เป็นระยะ โดยเฉพาะในช่วงดวงจันทร์เริ่มขึ้นจากผิวน้ำมีก้อนเมฆจำนวนมากมาบังไว้ทำให้ทุกคนที่มาเฝ้ารอได้เห็นแสงดวงจันทร์เมื่อช่วงเวลาประมาณ 19.30 น.ไปแล้ว และดวงจันทร์ถูกเงาโลกบดบังไปแล้วเกือบครึ่ง 


นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสนุกๆอื่นๆอีกมากมาย อาทิ กิจกรรมบ่วงเชือกหรรษา กิจกรรมร่วมถ่ายภาพสามมิติ และนิทรรศการ 150 ปี สุริยุปราคาเต็มดวง ณ บ้านหว้ากอ เป็นต้น
 ซึ่งปรากฎการณ์ดาราศาสตร์ในครั้งนี้สามารถเห็นได้หลายพื้นที่ทั่วโลก ถือเป็นปรากฎการณ์ที่ดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์โคจรมาอยู่ในแนวระนาบเดียวกัน โดยโลกอยู่ตรงกลางระหว่างดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ ขณะที่ดวงจันทร์โคจรผ่านเข้าไปในเงามืดของโลก ผู้สังเกตบนโลกจะมองเห็นดวงจันทร์เว้าแหว่งไปทีละน้อยจนดวงจันทร์เข้าไปอยู่เงามืดทั้งดวง แล้วจะเริ่มมองเห็นดวงจันทร์เว้าแหว่งอีกครั้งหนึ่งเมื่อดวงจันทร์เคลื่อนที่ออกจากเงามืดของโลก ช่วงที่ดวงจันทร์โคจรเข้าไปอยู่ในเงามืดของโลกบางส่วนจะเรียกว่า “จันทรุปราคาบางส่วน” และช่วงที่ดวงจันทร์โคจรเข้าไปอยู่ในเงามืดของโลกทั้งดวง เรียกว่า “จันทรุปราคาเต็มดวง” จะมองเห็นดวงจันทร์เต็มดวงเป็นสีแดงอิฐ เนื่องจากได้รับแสงสีแดงซึ่งเป็นคลื่นที่ยาวที่สุดหักเหผ่านบรรยากาศโลกไปกระทบกับดวงจันทร์


โดยชาวบ้านที่พบเห็นต่างเชื่อว่าและหวั่นเกรงถึงภัยอันตรายและลางร้ายที่กําลังมาเยือน โดยคนสมัยก่อนเชื่อว่า จันทรคราส เกิดจากเทพองค์หนึ่งชื่อ "ราหู" เกิดความโกรธที่พระจันทร์ฟ้องร้องต่อ
พระอิศวรว่า พระราหูกระทําผิดกฎของสวรรค์คือแอบไปดื่มน้ำอมฤตที่ทําให้ชีวิตเป็นอมตะ พระอิศวรจึงลงโทษโดยตัดลําตัวราหูออกเป็น 2 ท่อน พระราหูจึงทําการแก้แค้นโดยการไล่ "อม" พระจันทร์ คนไทยในสมัยโบราณ จึงเรียกปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์มืดลงและกลายเป็นสีแดงอิฐนี้ว่า การเกิด"คราส" หรือ "จันทรคราส" (คราส แปลว่า กิน)
ด้วยเหตุนี้เมื่อเกิดจันทรุปราคาครั้งใด ผู้คนก็จะช่วยกันตีเกราะเคาะไม้ตีปี๊บ หรือส่งเสียงดังๆเพื่อขับไล่พระราหูให้ปล่อยดวงจันทร์เสีย ไม่ต่างจากคนจีนในสมัยโบราณที่เชื่อว่าจันทรุปราคาเกิดจากมังกรไล่เขมือบดวงจันทร์ จึงต้องจุดประทัดและตีกลองไล่เพื่อให้มังกรคายดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ออกมา //////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.